รายงาน ปัตตานี: เมืองแห่งสายน้ำ  ความสุขรับฮารีรายอ (อีฎิ้ลฟิตริ)  ฮ.ศ.1443

       หลังสิ้นสุดการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน (ออกบวช) ที่พี่น้องมุสลิมต่างมุ่งมั่นเพียรพยายามตลอดระยะเวลาประมาณ 1 เดือน เพื่อสร้างสมผลบุญคุณงามความดี และการตอบแทนจากพระผู้เป็นเจ้า ช่วงระยะเวลาประมาณหนึ่งเดือนนั้น คือการฝึกฝนขัดเกลาตนเองในทุกด้าน กาย วาจา และใจ งดเว้นการดื่มกินในช่วงระหว่างวัน ละเว้นจากความคิด คำพูดที่ไม่ดี รวมถึงการประพฤติที่ไม่เหมาะสม จนได้เวลาละศีลอด (เปิดปอซอ)ในช่วงเย็น-ค่ำ และการละหมาดในช่วงเวลาค่ำคืนที่เรียกว่า "ตะรอเวียะห์" การปฏิบัติของมุสลิมนั้น เพื่อเป้าหมายสูงสุด คือ การได้รับความเมตตา และการตอบแทนจากพระผู้เป็นเจ้าตามหลักศรัทธาและความเชื่อของศาสนาอิสลาม ซึ่งผู้ที่ถือศีลอด จะต้องตั้งเจตนาในการถือศีลอดเพื่อพระผู้เป็นเจ้า

       จากวันแรกของการถือศีลอด นั้นคือบททดสอบของชีวิต ขัดเกลาคุณธรรมความดีของตนให้สูงขึ้นฝึกฝนความอดทน เสียสละ อดกลั้นต่อสิ่งที่ไม่ดีทั้งปวง สิ่งที่มายั่วเย้าทั้งทางใจ ทางตา และรสกลิ่น สัมผัส อยู่เหนือบททดสอบแม้สภาพอากาศความร้อน ความรู้สึกที่หิวโหย นั่นเพราะความรักและศรัทธาที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า และเพื่อผลบุญที่จะได้รับการตอบแทนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เมื่อเอาชนะสิ่งที่ไม่ดีทั้งปวงมาทดสอบได้ และเดือนรอมฎอนยังได้เพิ่มเติมคุณค่าทางจิตใจ เพิ่มช่วงเวลาพิเศษของความใกล้ชิด ทบทวนตนเอง จดจำระลึกถึงพระเจ้า ไตร่ตรองและอ่านอัลกุรอาน ใช้เวลาในการปฏิบัติที่มัสยิด "การทำเอี๊ยะติกาฟ" เพิ่มพูนผลบุญ และการละหมาดที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความศรัทธา

       รอมฎอนที่ผ่านมา ยังช่วยสร้างคุณค่าทางสังคม  การบริจาคทานเพื่อผู้ยากไร้ เป็นหลักการสำคัญที่มุสลิมได้ยึดถือ และปฏิบัติ เพื่อช่วยเหลือค้ำจุนผู้ที่ลำบากกว่าตนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเด็กกำพร้า สตรีหม้าย หรือ ครอบครัวผู้สูญเสีย การดูแล เติมเต็มเพื่อนมนุษย์ด้วยความรัก และสำนึกความเป็นพี่น้องไม่ว่าจะศาสนิกเดียวกัน หรือ ต่างศาสนิก

       และมาถึงวันที่จุฬาราชมนตรีได้ประกาศดูดวงจันทร์ วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 เพื่อกำหนดวันแรกของเดือนเซาวาล ซึ่งเป็นเดือนถัดจากรอมฎอน เป็นสื่อสัญญาณสิ้นสุดการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน กำหนดวัน "อีฎิ้ลฟิตริ" การเฉลิมฉลองในวันออกอีด หลายคนอาจยังปอซอต่ออีก 6 วัน เพื่อรับผลบุญที่เพิ่มพูนขึ้น หรือ ชดเชยให้ครบจากเดือนที่ผ่านมาอีก 6 วัน จนครบออกบวช เรียกว่า "รายอแน"

       เมื่อวันแห่งการเฉลิมฉลอง วันตรุษอีฎิ้ลฟิตริ มาถึง พี่น้องมุสลิมต่างร่วมกันละหมาด ณ มัสยิด หรือ พื้นที่โล่งแจ้ง เพื่อลดความแออัด และยังคงปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด -19 สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง การดูแลด้านสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด หลังการจ่ายซากาต บริจาคทาน และการปฏิบัติศาสนกิจ ละหมาดที่มัสยิดเรียบร้อย จากนั้นจะเป็นเวลาสำหรับครอบครัว ร่วมรับประทานอาหาร แจกจ่ายตูปะ (ขนมต้มสามเหลี่ยม) แก่เพื่อนบ้าน ญาติสนิท มิตรสหาย พบปะเยี่ยมญาติ เดินทางท่องเที่ยว แต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าใหม่ หัวใจสำคัญ เป็นการกล่าวสลาม สลามัตฮารีรายอ และขออภัย หรือ ขอมาอัฟแก่กันและกัน สมาชิกในครอบครัว ญาติพี่น้อง และเพื่อนที่พบเจอ เป็นช่วงเวลาของการเริ่มต้นสิ่งใหม่ที่งดงามด้วยความสุข การให้อภัย และการเดินทาง

        เช่นเดียวกับสายน้ำปัตตานี ที่ยังคงไหลหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในความหลากหลายของการอยู่ร่วมกันบนวิถีแห่งความต่างทางวัฒนธรรม ประเพณี แต่สามารถอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความเอื้ออาทร ใส่ใจดูแล ความเห็นอกเห็นใจในความเป็นพี่น้อง การให้เกียรติ และเคารพซึ่งกันและกัน คือ วิถีแห่งศรัทธาในความดีงามของการอยู่ร่วมกันในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยความสงบสุขและสันติ

ภาพ:

มัสยิดโรงอ่าง ริมแม่น้ำปัตตานี

พัชรา ยิ่งดำนุ่น

สถานีวิทยุ ม.อ.ปัตตานี

รายงาน